เปิดจักวาลเปรต

ตำนานเปรต จักรวาลเปรต ผีเปรต เปรต

‘เปรต’ เป็นผีหรืออสุรกาย? มีหลายรูปลักษณ์ ไม่ใช่แค่สูงเท่าต้นตาล

เปิดจักรวาล “เปรต” ที่ไม่ได้มีแค่ตัวสูงเท่าต้นตาล แต่ยังมีรูปร่างแตกต่างกันไปตามกรรมที่เคยก่อ มีทั้งปากเป็นหมู กลายเป็นก้อนเนื้อ หรือมีไฟลุกตามตัว ชวนรู้จักเปรตที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดแบบอื่นๆ ซึ่ง เปรตทุกชนิดล้วนเคยกระทำบาปหนักตอนเป็นมนุษย์

  • เปรตไม่ได้อยู่ในนรก แต่อยู่ใน “ภูมิเปรต” แม้จะต้องถูกลงโทษเพื่อชดใช้กรรม แต่ก็ยังได้รับการผ่อนปรนอยู่บ้าง ต่างกับสัตว์นรกที่ต้องรับโทษตลอดเวลา
  • แม้จะมีความเชื่อว่าเปรตเป็น “ผี” แต่บางตำราก็อ้างว่าเป็น “อสุรกาย” หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
  • “เปรต” มีหลายประเภท ไม่ได้มีแค่ผอม สูง ปากเท่ารูเข็มเท่านั้น แต่ยังมีเปรตที่มีหน้าตาแปลกประหลาด และคอยลงโทษตัวเองอีกด้วย

“ตัวผอม สูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม มือใหญ่เท่าใบลาน พูดไม่ได้เลยต้องส่งเสียงร้องวี้ดๆ” คือนิยามของ “เปรต” ที่หลายคนคุ้นเคยโดยเฉพาะคนไทย เพราะเป็นเรื่องเล่าที่ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาทุกยุคทุกสมัย

ทำให้สังคมไทยมีความสัมพันธ์กับคำว่าเปรตอย่างใกล้ชิดในเชิงวัฒนธรรม เช่น เปรียบเทียบคนที่มีตัวสูงกว่าคนอื่นว่า สูงเหมือนเปรต หรือใช้เรียกคนที่ผอมโซว่า ผอมเหมือนเปรต อดอยากเหมือนเปรต และบางภูมิภาคยังใช้เป็นคำชมด้วย เช่น สวยเหมือนเปรต หรือ อยู่ดีเหมือนเปรต

นอกจากนี้เปรตยังมีความข้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นด้วย เช่น ประเพณีชิงเปรตซึ่งเป็นประเพณีสำคัญในวันสารทเดือนสิบของคนไทยภาคใต้ เป็นต้น เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษรวมถึงส่งผลบุญให้เปรตด้วยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทากรรมหนักให้เบาลงได้ และยังมีการนำเครื่องเซ่นไหว้ตั้งที่ร้านเปรต (ลักษณะคล้ายเสาสูง มีที่วางอาหารด้านบน)

แต่รู้หรือไม่ ? แท้จริงแล้ว “เปรต” มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของกรรมที่เคยก่อไว้ นอกจากนี้  ตามความเชื่อของคนไทยบางส่วนเรียกเปรตว่าเป็น “ผี” แต่บางตำราก็อธิบายว่าเป็น “อสุรกาย” ซึ่งครั้งนี้กรุงเทพธุรกิจจะพาไปเปิด “จักรวาลเปรต” ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และคืออะไรกันแน่

  • “เปรต” แท้จริงแล้วคืออะไร เป็นอสุรกายหรือเป็นผี ?

คำว่า “เปรต” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต แต่ของไทยนั้นมาจากคำว่า “เปต” ของภาษาบาลีซึ่งรับมาจากประเทศอินเดียอีกที

เปรตอาศัยอยู่ใน “เปตติวิสยภูมิ” หรือ “ภูมิเปรต” ซึ่งเป็นโลกของเปรต อยู่ห่างไกลจากความสุข ไม่มีสถานที่อยู่แบบเฉพาะเจาะจง ตอนหนึ่งระบุว่า ตามตำนานเล่าว่าในป่าหิมพานต์ มีเมืองที่อยู่เหนือนรกขึ้นมาซึ่งเป็นที่อยู่ของเปรตทั้งหลาย หมายความว่าเปรตถูกแยกออกจากภูมินรก

นอกจากนี้ข้อมูลอธิบายว่าในความเชื่อของคนไทย “เปรต” ก็คือ “ผี” ชนิดหนึ่ง ทำให้เรียกกันว่า “ผีเปรต” เช่นเดียวกับ  ผีกระสือ ผีกระหัง ผีปอบ แต่ความจริงทั้งหมดที่กล่าวมาจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเปรต

สำหรับความหมายของเปรตตามภาษาสันสกฤต แบ่งได้ดังนี้

1. ผู้จากโลกนี้ไปแล้ว หรือคนที่ตายไปแล้ว เป็นวิญญาณชนิดหนึ่ง

2. ผู้ห่างไกลจากความสุข เป็นอสุรกายที่ทำกรรมเอาไว้จึงต้องมารับผลกรรมด้วยความทุกข์ทรมาน ซึ่งแต่ละตนจะมีรูปร่างหน้าตาต่างกันไปตามกรรมที่เคยทำไว้

  • ทำความรู้จัก “ภูมิเปรต” หรือโลกของเปรตทั้งหลาย

ในศาสนาพุทธจัดภพภูมิให้สรรพสัตว์ที่ยังมีกิเลสอยู่และต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ ทั้งหมด 31 ภพภูมิ เรียกว่า วัฏสงสาร 31 ภพภูมิ แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่

1. กามาวจรภูมิ เป็นภูมิของผู้ยังแสวงหาความสุขจาก รูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัสที่น่าพอใจ

2. รูปาวจรภูมิ เป็นภูมิของผู้ที่มีภาวะจิตสงบ มีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก

3. อรูปาวจรภูมิ เป็นภูมิที่อยู่ของผู้เจริญสมาธิถึงขั้นสูงสุด

สำหรับ “ภูมิเปรต” อยู่ใน “อบายภูมิ 4” เป็นภูมิย่อยของกามาวจรภูมิ มีไว้เพื่อลงโทษผู้ที่ทำบาป แบ่งเป็น นรก เปรต อสุรกาย และดิรัจฉาน (เดรัจฉาน) เมื่อมาเกิดในภูมิเปรตแล้วจะถูกลงโทษให้ทุกข์ทรมานอยู่เกือบตลอดเวลา แต่มีการผ่อนปรนบ้างเล็กน้อย

ตัวอย่างเช่น เปรตปากเท่ารูเข็มที่กินอะไรไม่ได้จึงมีแต่ความหิวโหย ก็ผ่อนปรนให้ออกไปหาอาหารกินบ้างเล็กน้อย แม้จะเป็นผู้มีบาปหนัก แต่ก็ยังน้อยกว่าสัตว์ที่เกิดในนรกที่จะโดนลงโทษตลอดเวลา

แม้ว่า “เปรต” จะมีเวลาพักจากการรับโทษ แต่ก็ต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสเป็นร้อยเป็นพันปี บางตนก็ต้องอยู่ไปชั่วกัปชั่วกัลป์

ความเชื่อ "เปรต" 12 ตระกูล 21 จำพวก และกรรมที่ทำให้เป็นเปรต

  • เปรตมีหลายประเภท ไม่ได้มีแค่สูงเท่าต้นตาล และบางตนก็รูปร่างน่าประหลาดจนคาดไม่ถึง

เบื้องต้นเปรตแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. เปรตที่มาจากโลกมนุษย์ เป็นคนที่ทำกรรมไม่หนักถึงขั้นที่ว่าจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก แต่ก็ยังมีกรรมหนักบางอย่างอยู่ ดังนั้น เมื่อคนเหล่านี้ตายแล้วก็จะไปเกิดเป็นเปรตทันที และ 2. เปรตที่มาจากนรก เป็นผู้ที่ทำกรรมหนักแม้ชดใช้กรรมในนรกมาแล้วก็ยังไม่หมดกรรม เพราะมีเศษกรรมติดอยู่ต้องมาเกิดเป็นเปรตเพื่อใช้กรรมต่อ

นอกจากนี้เปรตยังมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันและไม่ได้มีแค่เปรตหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเท่านั้น แต่เปรตที่หน้าตาดูดีก็มี?

โดยตามคำนิยามในพระไตรปิฎกมีบางช่วงบางตอนที่บอกเล่าถึงเปรตที่มีความแปลกประหลาดกว่าปกติ แต่อาจยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ได้แก่

เปรตปากหมู (สุกรเปตวัตถุ) เป็นเปรตที่มีปากเหมือนหมู แต่มีร่างกายเป็นทองเปล่งประกาย เพราะชาติก่อนเป็นผู้สำรวมกายแต่ไม่สำรวมวาจา เรียกว่าทำบาปด้วยปาก

เปรตปากเน่า มีร่างกายสวยงามดั่งทองคำ แต่ปากเหม็นและมีหนอนอยู่ในปาก เนื่องจากชาติก่อนแม้เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ชอบพูดจาส่อเสียดและโกหก

เปรตเศษบาป มาจากสัตว์นรกที่ยังชดใช้กรรมไม่หมด ต้องมาชดใช้ต่อในภูมิเปรต เช่น เปรตชิ้นเนื้อ ที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า มีนกต่างๆ รุมจิก จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากตอนเป็นมนุษย์มีอาชีพฆ่าวัว, เปรตก้อนเนื้อ มีชะตากรรมเดียวกันกับเปรตชิ้นเนื้อ แต่ที่เป็นก้อนเพราะตอนเป็นมนุษย์มีอาชีพฆ่านก, เปรตไม่มีผิวหนัง มีลักษณะเป็นมนุษย์แต่ไม่มีผิวหนัง ลอยไปมาอยู่บนฟ้าและมีนกรุมจิก เนื่องจากชาติก่อนมีอาชีพฆ่าแกะเพื่อถลกหนังไปขาย

เปรตถูกไฟไหม้ แต่งกายคล้ายพระห่มจีวรแต่มีเปลวไฟเผาไหม้ตัวเองตลอดเวลา เนื่องจากชาติก่อนบวชเป็นพระ แต่ทำผิดพระวินัยหลายอย่างทำให้ต้องมาเกิดเป็นเปรตชดใช้กรรม

กลุ่มเปรตกอบแกลบ มีทั้งหมด 4 ตน ตนแรกเอาแกลบข้าวสาลีที่มีไฟลุกโชนโปรยใส่หัวตนเอง เพราะในชาติก่อนเป็นพ่อค้าขี้โกง ตนที่สองเอาค้อนเหล็กทุบหัวตนเองจนแตก เพราะชาติที่แล้วทำร้ายมารดา ตนที่สามเป็นผู้หญิงกินเนื้อส่วนหลังและเลือดของตนเอง เพราะชาติก่อนแอบกินเนื้อแล้วโกหกและไม่ยอมรับผิด ตนสุดท้ายนั่งกินของสกปรก เนื่องจากชาติก่อนเป็นคนขี้งก เวลามีคนมาขออะไรชอบโกหกว่าไม่มีให้

เปรตโดนค้อน 60,000 ลูกตกใส่หัว เนื่องจากชาติก่อนเคยหมั่นไส้พระเลยดีดก้อนกรวดใส่ศีรษะพระ ทำให้ต้องเกิดมาเป็นเปรตที่มีค้อนเหล็กตกใส่หัวถึง 60,000 ลูก

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเปรตที่มีความหลากหลายแตกต่างไปจากที่เราเคยรับรู้มาก่อน แต่สิ่งที่เหล่าเปรตมีเหมือนกันก็คือ ชาติที่แล้วล้วนแต่เป็น “คนบาป” ก่อกรรมทำเข็ญกับทั้งคนและสัตว์ ทำให้เมื่อตายไปแล้วต้องชดใช้กรรมด้วยความทรมานในรูปแบบของ “เปรต

สุดท้ายแล้วแม้จะยังมีข้อถกเถียงกันในหลายตำราว่าเปรตคือผีหรืออสุรกาย หรือแท้จริงแล้วเป็นอย่างอื่น และยังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องราวต่างๆ ของเปรตได้ แต่ก็เป็นหนึ่งในกุศโลบายที่อยากให้คนทำแต่ความดีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

ส่วนในพระไตรปิฎกก็มีการกล่าวถึงพระสาวกว่าได้พบเห็นและมีโอกาสสนทนากับเปรต โดยเปรตแต่ละตนก็จะเล่าว่าตนได้ทำกรรมอะไรบ้างสมัยเป็นมนุษย์ ครั้นตายลงจึงต้องมาเสวยผลกรรมดังที่เห็น
     สำหรับเปรตที่มีการแบ่งเป็นหลายพวกหลายประเภทและมีชื่อเรียกต่างๆ กันที่จะกล่าวต่อไปจากนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในอรรถกถา ซึ่งเป็นคำภีร์ที่รวบรวมคำอธิบายความในพระไตรปิฎกในภาษาบาลี เรียกว่า คัมภีร์อรรถกถา บ้าง ปกรณ์อรรถกถาบ้าง แต่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง เพียงแต่เป็นการอธิบายความหรือคำยากเพื่อให้เข้าใจง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมักจะแสดงทัศนะหรือวินิจฉัยของผู้แต่งสอดแทรกเข้าไปด้วย
     หนึ่งในอรรถกถาได้พูดถึง เปตวัตถุ (วัตถุที่นี้ แปลว่า เรื่อง เปตวัตถุ = เรื่องของเปรต) ว่าแบ่งเป็น ๔ ประเภท ได้แก่
     ๑. ปรทัตตูปชีวิกเปรต (ปอ-ระ-ทัด-ตู-ปะ-ชี-วิก-กะ-เปด) คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการรับอาหารที่ผู้อื่นให้ โดยการเซ่นไหว้ เป็นต้น และเป็นเปรตประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศลที่มนุษย์อุทิศให้
     ๒. ขุปปีปาสิกเปรต (ขุบ-ปี-ปา-สิก-กะ-เปด) คือ เปรตที่อดอยาก จะหิวข้าวหิวน้ำอยู่ตลอดเวลา
     ๓. นิชฌามตัณหิกเปรต (นิ-ชา-มะ-ตัน-หิ-กะ-เปด) คือ เปรตที่ถูกไฟเผาไหม้ให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
     ๔. กาลกัญจิกเปรต (กา-ละ-กัน-จิ-กะ-เปด) คือ เปรตจำพวกอสุรกาย มีร่างกายใหญ่โต แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง มีปากเล็กเท่ารูเข็มอยู่บนกลางศีรษะ ตาโปนเหมือนตาปู
     นอกจากแบ่งตามข้างต้นแล้ว ในคัมภีร์โลกบัญญัติปกรณ์ (คัมภีร์ที่อธิบายถึงการเกิดของมนุษย์และภพภูมิต่างๆ) รวมถึง ฉคติทีปนีปกรณ์ (คัมภีร์ว่าด้วยความรู้แจ้งแห่งภพทั้ง ๖) ได้แบ่งเปรตออกเป็น ๑๒ ตระกูลและได้พูดถึงกรรมที่ทำให้ไปเป็นเปรตแต่ละตระกูล ดังนี้
     ๑. วันตาสาเปรต เป็นเปรตที่กินน้ำลาย เสมหะและอาเจียนเป็นอาหาร กรรมคือ ชาติก่อนเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เห็นใครมาขออาหารก็ถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่เคารพสถานที่ ถ่มน้ำลายเสลดในสถานที่เหล่านั้น
     ๒. กุณปาสทาเปรต เป็นเปรตที่กินซากศพคนหรือสัตว์เป็นอาหาร กรรมคือ เคยเป็นคนตระหนี่ ใครมาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยต้องการแกล้งประชด ไม่เคารพในทานที่ทำ
     ๓. คูถขาทกเปรต เป็นเปรตที่กินอุจจาระเป็นอาหาร กรรมคือ ตระหนี่จัด เมื่อญาติตกทุกข์ได้ยากหรือมีใครมาขอความช่วยเหลือขอข้าว ขอน้ำ จะเกิดอาการขุ่นเคืองทันที แล้วชี้ให้คนที่มาขอไปกินมูลสัตว์แทน
     ๔. อัคคิชาลมุขเปรต เป็นเปรตที่มีเปลวไฟลุกในปากตลอดเวลา กรรมคือ ตระหนี่เหนียวแน่น ใครมาขอ อะไร ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวเขาดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังกลั่นแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบและเลิกมาขอ
     ๕. สุจิมุขเปรต เป็นเปรตที่มีเท้าใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม จะกินแต่ละทีต้องทุกข์ทรมานมาก กรรมคือ ใครมาขออาหารก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาจะถวายทานแก่สมณพราหมณ์หรือผู้ทรงศีล หวงทรัพย์
     ๖. ตัณหัฏฏิตเปรต เป็นเปรตที่หิวข้าวหิวน้ำอยู่ตลอดเวลา แม้จะมองเห็นแหล่งน้ำแล้ว พอไปถึงก็กลับกลายเป็นสิ่งอื่นดื่มกินไม่ได้ กรรมคือ เป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อหม้อข้าว ไม่ให้คนอื่นกิน
     ๗. นิชฌามกเปรต เป็นเปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา ตัวสูงชะลูด มือเท้าเป็นง่อย ปากเหม็น กรรมคือ เป็นคนใจหยาบ เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลจะโกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่าท่านเหล่านั้นจะมาขอของๆ ตน จึงแสดงกิริยาหยาบคายและขับไล่ท่านเหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่แก่เฒ่า เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ก็แกล้งให้ท่านตายไว ตัวจะได้ครองสมบัติของท่าน
     ๘. สัพพังคเปรต เป็นเปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้าคมเหมือนมีดและงอเหมือนตะขอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาข่วนร่างกายเป็นแผลและกินเลือดเนื้อตัวเองเป็นอาหาร กรรมคือ ชอบขูดรีดหรือเอาเปรียบชาวบ้าน หรือชอบรังแกหยิกข่วนพ่อแม่
     ๙. ปัพพตังคเปรต เป็นเปรตที่มีร่างกายใหญ่โตเหมือนภูเขา แต่ต้องถูกไฟเผาคลอกอยู่ตลอดเวลา กรรมคือ เมื่อเป็นมนุษย์ได้เอาไฟไปเผาบ้านเผาเรือนผู้อื่น
     ๑๐. อชครเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์เดียรัจฉาน และจะถูกเผาไหม้ทั้งวันทั้งคืน กรรมคือ ตอนเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เห็นผู้มีศีลมาเยือนก็มักด่าเปรียบเปรยว่าท่านเป็นสัตว์ เพราะไม่อยากทำทาน
     ๑๑. มหิทธิกเปรต เป็นเปรตที่มีฤทธิ์มากและรูปงามเหมือนเทวดา แต่อดอยากหิวโหยตลอดเวลา เมื่อเจอของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร กรรมคือ ตอนเป็นมนุษย์เคยบวชเรียน และพยายามรักษาศีล จึงมีรูปงาม แต่เกียจคร้านต่อการบำเพ็ญธรรม จิตใจจึงยังเต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง
     ๑๒. เวมานิกเปรต เป็นเปรตที่มีวิมานคล้ายเทวดา แต่จะเสวยสุขได้เฉพาะกลางวัน พอกลางคือก็จะเสวยทุกข์ กรรมคือ เมื่อเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์
     นอกเหนือจากเปรตข้างต้นแล้ว ในพระวินัยและลักขณสังยุตต์พระบาลี ยังได้พูดถึงเปรตอีก ๒๑ จำพวก ได้แก่
     ๑. อัฏฐีสังขสิกเปรต เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีเนื้อ
๒. มังสเปสิกเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ไม่มีกระดูก
๓. มังสปิณฑเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อนๆ
๔. นิจฉวิเปรต เปรตที่ไม่มีหนังหุ้ม
๕. อสิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
๖. สัตติโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นหอก
๗. อุสุโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
๘. สูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
๙. ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็มอีกแบบ
๑๐. กุมภัณฑเปรต เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
๑๑. คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
๑๒. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระ
๑๓. นิจฉวิตกิเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
๑๔. ทุคคันธเปรต เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
๑๕. โอคิลินีเปรต เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
๑๖. อลิสเปรต เปรตที่ไม่มีศีรษะ
๑๗. ภิกขุเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนพระ
๑๘. ภิกขุนีเปรตเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนภิกษุณี
๑๙. สิกขมานเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสิกขมานา (สามเณรีที่ได้รับการอบรมเป็นเวลา ๒ ปี เพื่อบวชเป็นภิกษุณี
๒๐. สามเณรเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณร
และสุดท้าย ๒๑. สามเณรีเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณรี
     จะเห็นได้ว่า “เปรต” มีอยู่มากมายหลายลักษณะ แม้บางพวกจะมีรูปงามเหมือนเทวดา แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนเปรตชนิดอื่นๆ เช่นกัน ดังนั้น ในขณะที่เรายังโชคดี เกิดเป็นมนุษย์ จึงไม่ควรละโอกาสที่จะทำบุญสร้างกุศล และระมัดระวังที่จะไม่ทำกรรมชั่วทั้งกาย วาจา ใจ เพราะแค่ไปเกิดเป็น “เปรต” ยังทุกข์ยากลำเค็ญไม่น้อยแล้ว และยังเป็นเพียงหนึ่งในอบายภูมิเท่านั้น ถ้าทำบาปหนักหนาสาหัสกว่านั้น ก็ยังมีดินแดนเดรัจฉาน อสุรกาย และนรกที่รออยู่ ซึ่งคงต้องบอกว่า “ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *