ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อนในห้วงเวลาขนาดนั้นอาตมายังคงเฝ้าเพียงศึกษาธรรมะไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อหวังว่าจะขัดเกลาจิตใจและให้ได้บรรลุธรรมตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุที่อาตมานั้นไม่มีทางโลกที่จะต้องห่วงจึงได้ตั้งใจที่จะศึกษาพระธรรมและออกเดินธุดงค์ตลอดเรื่อยมาซึ่งในการออกธุดงค์ในแต่ละครั้งก็ล้วนแต่ได้พบสัจธรรมต่างๆและสิ่งที่แปลกประหลาดที่ยังคงซ่อนเร้น อยู่ในมิติคู่ขนานของโลกใบนี้ ในช่วงเวลาของการออกเดินธุดงค์ในช่วงนั้นอาตมาตั้งใจที่จะออกเดินทางจากจังหวัดสระบุรีเพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดปราจีนบุรีเพื่อที่จะได้ไปนมัสการอาจารย์ที่เคารพนับถือ และถือว่าเป็นการออกเดินธุดงค์เพื่อปลีกวิเวกและปล่อยวางทุกๆอย่างไปในตัว จนมันต้องเป็นเหตุทำให้อาตมานั้นต้องพัดหลงไปยังสถานที่ต่างๆอย่างไม่ตั้งใจหรืออาจจะเป็นเพราะกรรมแต่ปางหลังที่เคยร่วมกันกระทำมาอาตมาจึงต้องได้มาพบกับสิ่งอัศจรรย์ใจตลอดระยะเวลาของการออกเดินธุดงค์ในครั้งนี้ เมื่อครั้งที่เดินทางมาถึงยังป่าดงพญาไฟในครั้งนั้นอาตมาเริ่มที่จะรับรู้เหตุการณ์หลายอย่างได้เป็นอย่างดีเพราะป่าแห่งนี้มันค่อนข้างมีอาถรรพ์ซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก พระอาจารย์ของอาตมาจึงคอยกำชับให้อาตมานั้นตั้งใจเล่าเรียนคัมภีร์พระเวทย์มนตราด้วยส่วนหนึ่งจะได้ใช้มันในยามฉุกเฉิน ในช่วงเย็นของวันนั้นอาตมาได้เดินธุดงค์มาค่อนข้างไกล และเริ่มที่จะเข้าแนวเขตจังหวัดนครนายกแล้วเมื่อสายตามองไปยังพระอาทิตย์ก็พบว่าเป็นเวลาที่ใกล้จะค่ำมืดแล้ว อาตมาจึงตัดสินใจที่จะหาที่พักแรมเหมือนที่เคยกระทำมาในทุกๆวัน แต่ในค่ำคืนนี้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะอาตมานั้นก็กำลังจะได้พบกับอีกมิติหนึ่งที่หลายๆคนยังคงเฝ้าหาคำตอบตลอดมา หลังจากที่แสงของพระอาทิตย์ได้ลาลับฟ้าไปแล้วความมืดก็ได้เข้ามาปกคลุมป่าทั้งป่าจนมืดมิด ก็คงจะมีแต่แสงของเทียนเล่มเล็กๆที่อาตมาได้จุดเอาไว้เพื่อให้พอมีแสงสว่างคงอยู่บ้าง สายลมเริ่มพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาอย่างช้าๆ และสายลมที่เริ่มจะพัดเข้ามานี้นี่เองมันถึงทำให้อาตมาเริ่มที่จะรู้สึกตัวได้ว่าสายลมพวกนี้มันไม่เหมือนสายลมทั่วไปอุณหภูมิของมันที่มากระทบกายของเรานั้นมันค่อนข้างที่จะผิดแปลกไปจากธรรมชาติ จนในที่สุดเมื่อเวลาเริ่มที่จะดึกมากขึ้น ปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติก็เริ่มที่จะคืบคลานเข้ามาหาอาตมาอย่างช้าๆท่ามกลางความเย็นนั้นของป่าดงพงไพร เสียงของการก้าวเท้าเคลื่อนไหวก็เริ่มที่จะดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายราวกับว่าต้นตอของเสียงพวกนั้นมันกำลังที่จะทำให้อาตมาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาภายในจิตใจ แสงจันทร์ที่กำลังส่งมาอย่างนวลตามันจึงพอที่จะทำให้อาตมานั้นได้เห็นภาพของผู้มาเยือนได้อย่างเด่นชัด ภาพๆนั้นเป็นภาพของเสือลายพาดกลอนตัวขนาดใหญ่ที่มันกำลังเดินเข้ามาหาราวกับว่ามันนั้นกำลังเดินมาหาเหยื่ออันโอชะของมัน ทั้งที่ร่างของมันได้ปรากฎขึ้น อาตมาในเวลานั้นก็ได้แต่สวดมนต์และอธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้กับมัน จนมันนั้นได้มาล้มตัวลงนอนที่ด้านหน้ากรดของอาตมาจนอาตมานั้นแทบที่จะไม่กล้าขยับตัวไปไหน ร่างกายลำตัวของมันค่อนข้างมีขนาดที่ใหญ่โตแต่สิ่งที่ผิดแปลกไปจากธรรมชาติของเสือคงจะไม่พ้นว่าที่ลำตัวและขนของมัน กลับไม่ใช่ขนจำพวกเสือแต่อย่างใด ในทางกลับกันรอบๆลำตัวของมันกลับมีเกล็ดสีดำขนาดใหญ่อยู่รอบๆตัวมันจึงทำให้อาตมานั้นค่อนข้างมั่นใจว่าเสือตัวนี้คงจะไม่ใช่เสือธรรมดาอย่างแน่นอน เวลาเริ่มที่จะตกดึกมากขึ้นในทุกๆขณะสิ่งอัศจรรย์ใจก็เริ่มเกิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายท่ามกลางความเงียบงันมีเพียงตัวของอาตมาและเสือที่มีเกล็ดสีดำห่อหุ้มตัวไว้ในตอนนี้ ก็พลันเริ่มที่จะมีเสียงของฝีเท้าบางอย่างที่มันเริ่มจะเดินมาทางที่อาตมาใช้พักแรมอยู่ และเสียงของฝีเท้าพวกนั้นมันคงเหมือนที่จะบ่งบอกออกมาว่าน่าจะมีสัตว์ป่าตัวขนาดใหญ่จำนวนหลายตัวที่มันกำลังเดินมาทางที่อาตมาอยู่ จนในที่สุดสิ่งไม่คาดคิดเอาไว้ก็เริ่มที่จะปรากฏกายออกมาอย่างช้าๆและมันก็เป็นไปตามที่อาตมาคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ เพราะในเวลานี้นั้นได้มีเสือตัวขนาดใหญ่จำนวนห้าหกตัวที่มันได้ปรากฏกายออกมาพร้อมกับพวกมันที่ได้ห้อมล้อมอาตมาไว้ในทุกทิศทุกทาง จนอาตมานั้นเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ คราวนี้คงจะไม่รอดน้ำมือของพวกมันอย่างแน่นอน เสือตัวขนาดใหญ่ทั้งห้าหกตัวต่างพากันยืนห้อมล้อมเหยื่อของมันเอาไว้ในตาของมันมีสีแดงกล่ำราวกับว่ามันเป็นดวงตาของพวกปีศาจ แต่พวกมันก็ยังคงไม่เข้าจู่โจมมาแต่อย่างใดราวกับว่าพวกมันนั้นกำลังชั่งใจหรือหวาดกลัวอะไรบางอย่าง จนไม่นานมากนักไอ้เสือตัวแรกที่มันมีเกล็ดสีดำขนาดใหญ่ก็ได้ลุกขึ้นมาพร้อมๆกับการตั้งท่าที่จะต่อสู้กับกลุ่มของพวกที่มาเยือน จนในที่สุดการต่อสู้ระหว่างสัตว์สี่เท้า ความดุร้ายก็ได้เกิดขึ้นแต่มันกลับไม่ใช่การต่อสู้แบบสัตว์โดยทั่วไปเพราะเสือที่มีลายเกล็ดสีดำ มันกลับพ่นใส่ลูกไฟออกมาจากปากของมัน จนไอ้พวกเสือตัวที่เหลือต่างแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาแต่พวกมันก็ยังคงไม่ถอยร่นออกไปมากนัก และในเวลาไม่นานมากนักไอ้เสียลายพาดกลอนตัวนึงมันก็พุ่งโจนทะยานเข้ามาหาทางอาตมาราวกับว่ามันนั้น ต้องการที่จะได้เหยื่ออันโอชะของมัน แต่เพียงระยะไม่กี่วาเท่านั้นมันก็กลับถูกเปลวเพลิงขนาดใหญ่ เผาร่างของมันจนเป็นผงธุรี จนไอ้พวกตัวที่เหลือก็ต่างพากันวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันไปตัวละทิศละทาง คงทิ้งไว้แต่ร่างของไอ้ตัวที่โชคร้ายที่ยังคงนอนจมกองไฟไปอย่างช้าๆ กลิ่นของสัตว์ที่กำลังถูกไฟคลอกยังคงโชยกลิ่นเหม็นไหม้ออกมาอย่างไม่ขาดสายพร้อมๆกับไอ้เสือที่มีลายเกล็ดสีดำมันนั้นได้เดินกลับมานอนยังจุดเดิมของมัน จนอาตมานั้นแทบที่จะทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่นั่งภาวนาสวดมนต์และแผ่เมตตาให้กับพวกมันทุกๆตัว จนในที่สุดอาตมานั้นจึงต้องจำยอมที่จะนั่งเจริญสมาธิกรรมฐานจนถึงรุ่งเช้า โดยที่ในเวลานั้นอาตมาไม่สามารถที่จะบังคับควบคุมจิตใจและสมาธิให้ไม่หวาดกลัวได้เลยในใจลึกๆหวังไว้เพียงอย่างเดียวว่าขอให้รอดชีวิตออกไปจากป่ามรณะแห่งนี้และขอให้อย่ามีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาอีกเลย จนในที่สุดคำภาวนาของอาตมานั้นก็เกิดเป็นผลเมื่อเวลารุ่งอรุณวันใหม่ได้เข้ามาเยือนอีกครั้งซึ่งในเวลานั้นก็ยังคงเป็นเวลาที่ไม่เช้ามากนัก แล้วฉับพลันก็เกิดเสียงฝีเท้าของคนที่กำลังเดินมาหาอาตมาอีกครั้งซึ่งจากที่หูของอาตมาได้ยินมันน่าจะเป็นเสียงของฝีเท้าของคนอย่างไม่มีผิด และหากเสียงฝีเท้าเหล่านั้นเป็นเสียงฝีเท้าของชาวบ้านที่กำลังนำข้าวปลาอาหารมาถวายชาวบ้านเหล่านั้นจะไม่ตกอยู่ในห้วงของอันตรายหรืออย่างไร เพราะในเวลานี้ไอ้เสือที่มีเกล็ดลายสีดำมันก็ยังคงไม่ไปไหน มันนั้นก็ยังคงนอนเฝ้าอาตมาตั้งแต่เมื่อคืน และในเวลานี้มันนั้นก็ยังคงไม่มีทีท่าที่จะหลบหนีหายไปในป่าแต่อย่างใด อาตมาจะทำอย่างไรดีชีวิตของชาวบ้านตาดำดำถึงจะปลอดภัย นั่นคือคำถามที่อาตมาเองก็ไม่อาจที่จะทราบได้และยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นแต่อย่างไร จนในวินาทีสุดท้ายอาตมาจึงได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเหตุการณ์อะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาซ้ำอีกเลย พร้อมกับการตั้งจิตปล่อยวางในทุกๆอย่างนั้นให้เป็นไปตามกรรมของแต่ละบุคคล และแล้วในเวลาไม่นานมากนักเสียงของฝีเท้าชาวบ้านจำนวนหลายๆคนก็ต่างเดินมาอยุดที่หน้ากรดของอาตมาพร้อมกับการปรากฏกายของกลุ่มชาวบ้านชายหญิงห้าหกคนซึ่งทุกคนก็ล้วนแต่ใส่เสื้อผ้าด้วยชุดสีขาวล้วน พร้อมกับการเตรียมข้าวปลาอาหารเพื่อมาถวายทั้งสิ้น สิ่งอัศจรรย์ในป่าอาถรรพ์ได้เกิดขึ้นมากับสายตาของอาตมาอีกครั้ง เพราะในเวลานี้ไอ้เสือตัวที่มีเกล็ดลายสีดำมันกลับไม่ลุกขึ้นมาทำร้ายชาวบ้านมิหนำซ้ำมันยังเข้ามาหยอกล้อกลุ่มของชาวบ้านราวกับว่ามันเป็นเพียงสุนัขที่ถูกเลี้ยงมาอย่างเชื่องตัวหนึ่ง และกลุ่มของชาวบ้านทั้งหมดก็ไม่มีใครที่จะแสดงอาการหวาดกลัวมันแต่อย่างใดในทางกลับกันมันนั้นกลับถูกตะคอกจากชายวัยกลางคนเพื่อให้มันไม่เข้ามายุ้มย้ามในการถวายข้าวปลาอาหาร จนมันนั้นต้องทำท่าสงบเสงี่ยมเจียมตัวและเดินคอตกไปยังจุดที่มันเคยใช้นอนพักเฝ้าอาตมา มาถึงเวลานี้อาตมาจึงค่อนข้างมั่นใจว่าไอ้เสือตัวนี้กับกลุ่มของชาวบ้านน่าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน และที่สำคัญมากไปกว่านั้นทั้งเสือและคนที่กำลังปรากฏกายต่อหน้าของอาตมาในเวลานี้น่าจะไม่ใช่กลุ่มของสัตว์และมนุษย์ทั่วๆไปอย่างแน่นอน จนในที่สุดความจริงทั้งหมดก็เริ่มถูกเปิดเผยออกมาอย่างช้าๆเพราะหลังจากที่อาตมาได้ฉันภัตตาหารเป็นที่เสร็จแล้วอาตมาจึงเริ่มที่จะสวดมนต์ให้ศีลให้พรแก่กลุ่มของชาวบ้านที่ได้นำอาหารหวานคาวมาถวายทั้งที่เสียงบทสวดของอาตมาได้สิ้นสุดลงร่างของชาวบ้านก็เริ่มที่ค่อยๆเลือนหายไปรวมทั้งเสือลายเกล็ดตัวนั้น แล้วถัดไปไม่ไกลก็เห็นงูขนาดใหญ่ลำตัวขนาดเท่าต้นตาลกำลังเลื้อยเข้าไปในป่า และแล้วเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในดวงจิตของอาตมา พวกข้าพเจ้าทั้งหลายขอตั้งจิตอันเป็นกุศลขอให้ท่านบารมีที่พวกข้าพเจ้าได้เท่ากันในวันนี้จงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดหรือไปยังภพภูมที่ดีมากขึ้นกว่านี้ด้วยเทอญและขอให้พระคุณเจ้าได้สำเร็จธรรมตามแรงศรัทธาของพวกข้าพเจ้าด้วยเทอญสาธุสาธุสาธุ หลังจากที่เหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์จบลงไปอาตมาก็เริ่มที่จะเก็บข้าวของและเริ่มออกเดินทางต่อไปในทันที ซึ่งความอัศจรรย์ใจนี้ก็ยังคงติดตามอาตมามาตลอดระยะเวลาของการออกธุดงค์จนถึงจุดหมาย เพราะในเวลาค่ำคืนของทุกๆคืนที่อาตมายังคงพักแรมอยู่ที่ป่าอาถรรพ์ดงพญาไฟแห่งนี้ไอ้เสือตัวที่มีเกล็ดลายสีดำมันก็จะปรากฏกายมานอนเฝ้าอาตมาอยู่ในทุกๆคืนโดยที่อาตมาเองก็ไม่อาจทราบได้ว่ามันได้ตามอาตมามาในเวลาไหนและหนทางใด เพราะในเวลากลางวัน อาตมาเองก็ไม่พบว่าจะมีร่างของมันออกมาให้ได้พบเห็นเลยจะมีเพียงเวลาของความมืดรัตติกาลเท่านั้นที่มันจะออกมานอนเฝ้าอาตมายังไม่ห่าง พอรุ่งเช้าเข้ามาร่างของมันก็จะหายไปจนไม่สามารถพบเห็นมันได้ซึ่งในทุกๆวันทุกๆคืน ที่อาตมายังคงอยู่ในแนวเขตของป่าอาถรรพ์แห่งนี้ก็จะพบว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดอาตมานั้นก็ได้เดินทางธุดงค์ออกมาพ้นแนวเขตของป่าดงพญาไฟและไอ้เสือตัวนั้นมันคงไม่กลับมาให้อาตมาได้เห็นอีกเลยจวบจนเวลาของการออกเดินธุดงค์ได้สิ้นสุดลงเมื่ออาตมาได้เดินมาถึงยังจุดหมายปลายทาง อาตมาก็ได้พบเห็นร่างมันอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้มันก็ทำให้อาตมารู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะร่างของไอ้เสือตัวนั้นมันกลับได้มาเป็นรูปปั้นที่เฝ้าอยู่หน้าอุโบสถของวัดแห่งหนึ่งที่อาตมานั้นตั้งใจที่จะเดินทางมาหาพระอาจารย์ของอาตมา ซึ่งรูปลักษณ์ที่ได้พบเห็นก็พบว่ามีลักษณะเดียวกันกับไปเสือตัวนั้นยังไม่มีผิดเพี้ยน หากมองในมุมเชิงวิทยาศาสตร์มันก็อาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญที่ช่างฝีมือได้มาปั้นรูปปั้นของมันเอาไว้แต่หากมองในมุมมองของความศรัทธามันก็ไม่แน่ว่าเสือตัวนี้คงจะเป็นเสือตัวที่คอยช่วยเหลืออาตมาอยู่ตลอดเวลานั่นเอง หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาอาตมาเองก็เริ่มที่จะตั้งใจศึกษาพระธรรมควบคู่ไปกับการอุทิศบุญกุศลให้กับดวงวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้น จนในที่สุดอาตมาก็ได้รับรู้ที่มาที่ไปต่างๆจนกระจ่างแจ้งด้วยญาณสมาธิที่อาตมาได้ตั้งใจปฏิบัติโดยตลอดมาว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขาคือพญานาค เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดล้วนแต่เกิดมาจากกรรมที่เคยร่วมทำกันมาเพราะในภพภูมิที่แล้วอาตมานั้นเคยเกิดเป็นพญานาคอยู่ในที่แห่งนี้มาก่อนและเคยลั่นสัจจะวาจาพร้อมกับคำสาบานว่าจะช่วยเหลือพญานาคหลายตนไอ้บรรลุธรรมและให้ได้ไปเกิดและไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้ คำสัญญาและสัจจะนี่เองมันจึงเป็นกรรมที่อาตมานั้นจะต้องมาชดใช้ในภพภูมินี้เพราะด้วยเหตุที่เคยให้สัญญาไว้นั่นเองทุกๆอย่างมันจึงเป็นบ่วงแห่งกรรมที่อาตมานั้นจะต้องมาชดใช้กรรมให้พวกเขาในชาตินี้